แบรนด์ Fred Perry from sportwear to streetwear

แบรนด์ Fred Perry from sportwear to streetwear

หลายๆ คนที่ติดตามวงการแฟชั่นคงต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของแบรนด์ Fred Perry มาบ้างว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสตรีทแวร์แต่จริงๆ แล้ว แบรนด์นี้ยังมีอะไรมากกว่านั้น และวันนี้พี่ๆ BRIT - Ed ได้รวบรวมข้อมูลประวัติของแบรนด์ Fred Perry ที่น่าสนใจ มาให้น้องๆ ไว้ที่นี้แล้ว!

แบรนด์ Fred Perry

From sportwear to streetwear นิยามสำหรับเสื้อผ้าแบรนด์ Fred Perry ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน แต่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงในยุคปัจจุบัน จากสุดยอดนักเทนนิสในยุคต้นศตวรรษที่ 19 ผันมาสู่วงการเสื้อผ้า และหากพูดถึงเสื้อโปโลที่มีเอกลักษณ์เด่น คือ พวงหรีดช่อมะกอก แต่เดียวก่อน! ไม่ใช่พวงหรีดที่เพื่อนๆ นึกถึงกันในการแสดงความเสียใจนะ เดียวรายละเอียดรวมถึงประวัติจะเป็นอย่างไรพี่ๆ BRIT – Ed รวบรวมมาเสิร์ฟน้องๆ แล้ว!

ประวัติของ Fred Perry

เรื่องราวเริ่มต้นจากประวัติของชายที่ชื่อ Fred Perry (เฟร็ด เพอร์รี่) เกิดขึ้นมาเมื่อปี 1909 เมืองสต็อกพอร์ท ประเทศอังกฤษ เฟร็ด เพอร์รี่ถือว่าเป็นเด็กที่เติบโตมาด้วยความพร้อมเนื่องจากคุณพ่อของเขาเป็นนักการเมือง และเป็นเจ้าของธุรกิจโรงงานปั่นฝ้ายขนาดใหญ่ทำให้เขาคุ้นเคยกับเรื่องการผลิตเสื้อผ้า และด้านแฟชั่นมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อเขาเติบโตมาในสังคมชนชั้นสูงก็มีกิจกรรมให้เขาเลือกทำหลายอย่าง แต่หนึ่งกิจกรรมที่เป็นที่นิยมในสังคมชนชั้นสูง และเขาได้ทดลองเล่นก็คือ เทนนิส แถมเขาก็ทำมันได้ดีอีกต่างหาก และเขาก็เริ่มสมัครลงแข่งขันกีฬาเทนนิสรุ่นสมัครเล่นตั้งแต่สมัยเรียนจบมัธยมจนได้รับโอกาสในการเข้าแข่งขันฝึกฝีมือมาหลายรายการ และพรสวรรค์ของเขาก็ฉายออกมาจนพาเขาไปเข้ารายการชิงแชมป์โลกในปี 1929 โดยเพอร์รี่สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันเทเบิลเทนนิสชิงแชมป์โลกได้ตั้งแต่วัยเพียง 20 ปีเท่านั้น

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเดินหน้าเป็นนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพ แม้ช่วงแรกจะมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่เพราะการผลักดันจากคนรอบตัวทำให้เขาตัดสินใจลองดูสักตั้ง โดยสรุปเขากลายเป็นนักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของโลกกับการเป็นนักเทนนิสคนแรกของโลก ที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลมของวงการเทนนิสในประเภทเดี่ยวได้ทุกรายการ นั่นคือ ออสเตรเลียน โอเพน, เฟรนช์ โอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอส โอเพน

ยิ่งไปกว่านั้น เฟรด เพอร์รี่ ยังเคยพาทีมชาติอังกฤษ (หรือ สหราชอาณาจักร) คว้าแชมป์เดวิส คัพ หรือการแข่งขันเทนนิสชิงแชมป์โลกในประเภททีมชาย ได้อีกถึง 4 สมัย ทำให้เพอร์รี ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาเทนนิส ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของโลกจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Fred Perry

หลังจากถึงจุดสูงสุดของวงการเทนนิสก็ทำให้เขาเริ่มถึงจุดอิ่มตัวต้องการที่จะพักหรือหาความท้าทายใหม่ๆ ด้วยความที่ภาพลักษณ์ของเพอร์รี่นั้นเป็นคนที่ดูดี สง่างาม เพอร์รี่จึงกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงไฮโซ ของประเทศสหรัฐอเมริกาจนถูกทาบทามไปแสดงภาพยนต์ แต่ตอนนั้นเขายังโฟกัสกับการเล่นเทนนิสอยู่จึงปฏิเสธไป แต่พอเขาตัดสินใจแขวนแร็กเก็ต และย้ายไปที่สหรัฐอเมริกาก็ได้รู้จักกับคนในวงการแฟชั่นมากมายที่มีรสนิยมการแต่งตัวด้วยความคุ้นเคยในด้านเสื้อผ้ามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงสนใจ แต่ก็คิดว่ายังไม่พร้อมที่จะเริ่มทำธุรกิจเต็มตัว

ต่อมาภายในปี 1940 เฟร็ดได้รับการชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจจากอดีตนักฟุตบอลชาวออสเตรียที่ชื่อ Tibby Wegner (ทิบบี้ แวกเนอร์) ซึ่งเป็นผู้คิดค้น Sweatband หรือแถบคาดกันเหงื่อที่ใช้ในกีฬาเทนนิส ทั้งคู่ผลิตและจัดจำหน่าย Sweatband เป็นสินค้าชิ้นแรกของแบรนด์ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเขาจึงคิดว่าอยากจะเริ่มต้นธุรกิจเสื้อผ้ากีฬาเป็นของตัวเองตั้งแต่นั้น

โดยเพอร์รี่ต้องการที่จะทำเสื้อโปโลเป็นสินค้าแรก เพราะถือว่าเป็นเสื้อสำหรับชนชั้นสูงในยุคนั้น แต่มีคู่แข่งสำคัญที่ครองตลาดอยู่ ณ เวลานั้นก็คือ Lacoste เขาจึงคิดสร้างความแตกต่างทำเสื้อโปโลแบบสปอร์ตสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้เช่น การออกกำลังกายได้ดี มากกว่าแค่เป็นเสื้อผ้าสำหรับกลุ่มคนมีฐานะเพียงอย่างเดียว ทำให้ Lacoste ต้องออกเสื้อรุ่นใหม่มาแข่งเลยทีเดียว

ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1950 ความต้องการของเสื้อ Fred Perry ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเพิ่มตัวเลือกให้เสื้อมีหลากหลายสีมากขึ้น จนเสื้อกลายเป็นที่นิยมของนักกีฬา และผู้ที่ไม่ใช่นักกีฬา ตั้งแต่นั้นมาแบรนด์ Fred Perry ก็ออกแบบสินค้าแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง อย่าง รองเท้า แจ็คเก็ต กระเป๋า และเสื้อผ้าอื่นๆ ที่เป็นแนวไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันเสื้อสินค้าของแบรนด์นี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

จุดเด่นสินค้าของแบรนด์

หากพูดถึงผลิตภัณฑ์ของ Fred Perry ในปัจจุบันก็มีหลากหลายชนิดที่ถูกพูดถึงแต่ซิกเนเจอร์ และ Timeless Item ประจำแบรนด์ คงหนีไม่พ้นเสื้อตัวแรกเป็นเสื้อสีขาว ปักโลโก้ “ช่อมะกอก” หรือ "Laurel Wreath" ที่เป็นพวงหลีดที่พวกเรารู้จักคุ้นเคยกัน

ต่อมาจึงเริ่มผลิตกระเป๋าที่ออกแนว สตรีท เท่ๆ ขนาดพกพาง่าย เช่น กระเป๋าสตางค์, กระเป๋าคาดอก หรือรองเท้าที่ออกมามาเพื่อแมทช์กับกระเป๋า และเสื้อผ้า แต่ก็มีจุดเด่นที่สวมใส่สบายมีความยืดหยุ่น

โดยแบรนด์ Fred Perry นั้นไม่ได้พึ่งมีชื่อเสียงในยุคนี้เท่านั้นแต่แบรนด์ Perry เชื่อมโยงกับ Subcultures (วัฒนธรรมย่อย คือ วัฒนธรรมย่อยจากกลุ่มใหญ่ เช่น แนวการปฏิบัติของกลุ่มหนึ่ง การฟังเพลง,กีฬา เป็นต้น) และแนวสตรีทของอังกฤษมาโดยตลอดพร้อมกับดนตรีที่คนหนุ่มสาวเลือกที่จะฟัง และแสดงออก Fred Perry มีบทบาทสำคัญในรูปลักษณ์ของกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่ Mods ของปี 1950, Northern Soul และ Skinheads ในยุค 60, Punk และ Perry Boys ในยุค 70 และ Brit Pop ในปี 1990Fred

รู้หรือไม่ ประวัติวัฒนธรรมสัญลักษณ์พวงหรีด

   หลังจากที่เรากล่าวถึง "Laurel Wreath" หรือสัญลักษณ์ประจำแบรนด์ของ Fred Perry ไปแล้วน้องๆ ก็อาจจะถามว่า “เฮ้ย แบรนด์เขาใช้พวงหรีดเป็นโลโก้เลยหรอพี่ แล้วมันจะมงคลมั้ยเนี่ยถ้าใส่” ใจเย็นๆ ก่อน พี่ BRIT - Ed จะมาอธิบายกันว่าวัฒนธรรมการใช้พวงหรีดมีที่มาอย่างไร และมีอะไรบ้าง

การใช้พวงหรีดไม่ใช่วัฒนธรรมของไทยดั้งเดิม การใช้พวงหรีดเกิดขึ้นเมื่อประเทศไทยเปิดความสัมพันธ์กับซีกโลกตะวันตก ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการรับเอาวัฒนธรรมการใช้พวงหรีดเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีการพระบรมศพพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมวงศ์ หรือพระศพเจ้านาย เริ่มมีการประดับพวงหรีด

ในธรรมเนียมตะวันตก มีทั้งการใช้พวงหรีดสำหรับงานศพ และการใช้พวงหรีดในโอกาสเฉลิมฉลองต่าง ๆ ด้วย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรีกโรมัน สามารถแบ่งลักษณะการใช้พวงหรีดออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ

1. พวงหรีดกับสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ

การใช้พวงหรีดเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะมีขึ้นตั้งแต่ในสมัยโรมัน และในปัจจุบันยังมีการใช้พวงหรีดในความหมายนี้อยู่ เห็นได้จากงานแห่งขันกีฬาต่าง ๆ ยังคงมีวัฒนธรรมมอบพวงหรีดให้แก่ผู้ที่ชนะในการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ สำหรับพวงหรีดแห่งชัยชนะนิยมใช้ใบไม้ เช่น ใบมะกอก (Bay Leaf) หรือ ใบกระวาน มาร้อยเป็นพวงแล้วก็สวมศีรษะผู้ชนะ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ พวงหรีดประเภทที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ Fred Perry นี้เอง

อีก 2 ประเภทคือ

2. พวงหรีดดอกไม้สำหรับตกแต่ง

ในวัฒนธรรมตะวันตกนิยมใช้ดอกไม้แห้งที่มีกลิ่นหอม หรือใบไม้สมุนไพรกันแมลงกันต่างๆ หรือลูกสนแห้งมาทำเป็นพวงหรีดมาแขวนที่บานประตูเพื่อความสวยงาม นิยมใช้ในงานเทศกาลเฉลิมฉลองต่าง ๆ เช่น ช่วงเทศกาลคริสต์มาส ที่น้อง ๆ จะเห็นได้ในหนังที่ถูกใช้แขวนอยู่ตามบ้านในช่วงเทศกาล

3. พวงหรีดสำหรับแสดงความอาลัย

การมอบพวงหรีดเป็นการแสดงความอาลัยแก่ผู้ตาย ทั้งยังถือเป็นการให้กำลังใจและแสดงความเสียใจต่อญาติผู้ตายอีกด้วย ในรัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียมีการคัดสรรดอกไม้ประเภทต่างๆ ที่จะใช้ทำพวงหรีดสำหรับพิธีศพอย่างพิถีพิถัน ประเทศไทยก็ได้รับวัฒนธรรมการใช้หรีดในส่วนนี้เข้ามาและเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน

เป็นยังไงกันบ้างคะ หลังจากที่อ่านมาจนถึงตรงนี้น้องๆ น่าจะเข้าใจถึงวัฒนธรรมการใช้พวงหรีดและประเภทของพวงหรีดกันไปแล้ว ถ้าน้องๆ คิดว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจก็อย่าลืมติดตามกันว่าต่อไปพี่ ๆ BRIT – Ed จะนำเสนออะไรที่น่าใจอีกบ้างนะคะ


สำหรับน้องๆ ที่สนใจเรียนต่อใน UK สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสมัครเรียน

ติดต่อพี่ๆ BRIT-Ed ได้ที่ Line ID: @brit-ed

Tel: 02-168-7890, หรือลงทะเบียนที่แบบฟอร์มด้านล่างบริการทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นค่ะ

ลงทะเบียนร่วมงาน

  • ข้อมูลส่วนตัว

  • หลักสูตรที่สนใจศึกษาต่อ