พี่เจรีวีวเรียนต่อ LLM Law University of Kent
สวัสดีครับ ชื่อเจ เรียน LLM Law University of Kent ครับ
👉 เหตุผลที่เลือกเรียน LLM Law ที่ University of Kent
University of Kent ตั้งอยู่ในเมือง Canterbury ซึ่งถ้าดูในแผนที่จะเห็นว่าอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลอนดอนครับ เป็นเมืองเล็กๆ ที่สวยงามและเต็มไปด้วยอาคารที่สะท้อนถึงความเป็นประวัติศาสตร์ ให้ความรู้สึกที่โดดเด่นเรื่องการใกล้ชิดธรรมชาติและเมืองนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเงียบสงบ ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการศึกษา การใช้ชีวิตประจำวันและการพักผ่อนอย่างแท้จริงเลยครับ. ในมุมมองส่วนตัว คิดว่า Canterbury เป็นเมืองที่ค่อนข้างปลอดภัยและและผู้คนในเมืองนี้ค่อนข้างเป็นมิตรครับ อาจเป็นเพราะว่าเป็นเมืองเล็ก ต่อให้เมืองนี้เป็นเมืองท่องเทียวแต่ก็ไม่วุ่นวายหรือมีปัญหาที่ต้องคอยระวังเหมือนเมืองใหญ่ๆ และถึงแม้ Canterbury จะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็มีทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ และการเดินทางไป London จาก Canterbury นั้นค่อนข้างง่ายดายและรวดเร็ว ด้วยการเดินทางโดยรถไฟเพียงหนึ่งชั่วโมง นี่เป็นจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกเมืองนี้เลย เพราะว่าการที่ได้อยู่ในเมืองที่เงียบสงบก็อาจมีช่วงเวลาที่เราอยากไปเที่ยวหรือไปหาเพื่อนในลอนดอนบ้าง ซึ่งเมื่อลอนดอนอยู่ไม่ไกลจนเกินไป เราก็อาจจะเลือกวางแผนการเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับได้ และอีกมุมมองหนึ่งที่สำคัญและอาจเป็นปัญหากับหลายๆคนนั้นก็คือความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆในชีวิตประจำวันครับ ในเรื่องการใช้จ่ายนั้นมีหลายๆ ปัจจัยที่ส่งผล ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ลักษณะการใช้ชีวิต หรือลักษณะการเลือกซื้ออาหารของแต่ละคนก็ค่อนข้างต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นชัดก็คือการอยู่ที่เมืองนี้ ผมค่อนข้างที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ง่ายครับ อาหารต่างๆ ก็ไม่ได้แพงมากจนเกินไป ยิ่งถ้าทำอาหารทานเองด้วย ก็จะประหยัดไปได้เยอะเลยครับ
ในส่วนของมหาลัยนั้น ทาง University of Kent จะไม่ได้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเสียทีเดียวครับ โดยจะต้องเดินทางโดยการโดยสารรถโดยสารประจำทางจากในตัวเมืองออกมาที่มหาลัยประมาณ 15 นาที ในพื้นที่มหาลัยนั้นก็จะมีพื้นที่สีเขียวค่อนข้างเยอะ สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นเครื่องการันตีว่าใกล้ชิดธรรมชาตินั้นก็คือ ในมหาลัยนี้จะมีฝูงกระต่ายออกมาวิ่งเล่นบริเวณโซนพื้นหญ้าเป็นบางช่วง ทำให้นักศึกษาอาจได้พบเห็นกับกระต่ายในบริเวณมหาลัยจนเป็นเรื่องปกติ สำหรับในเรื่องที่พักนั้น ส่วนตัวจะชอบเลือกเป็นที่พักในมหาลัยมากกว่า แต่ก็มีคนไทยหลายๆคนเลือกที่จะพักในตัวเมืองแล้วนั่งรถเข้ามาที่มหาลัยเมื่อมีวิชาที่ต้องเรียน ข้อดีข้อเสียก็จะแตกต่างต่างกันออกไป แต่สำหรับผมการที่ได้อยู่ในหอพักด้านในมหาลัย ก็จะสะดวกเรื่องการเดินทางไป-กลับ จากตึกเรียน การวางแผนการตื่นนอนที่ไม่ต้องเผื่อเวลาเยอะ และไม่ต้องกังวลเรื่องพลาดรถโดยสารประจำทางในตอนเช้าครับ(ซึ่งถ้าพลาดที ก็จะต้องบวกเวลาคอยรถรอบต่อไปอีก) โดยเฉพาะหน้าหนาวจะยิ่งเห็นข้อดีของการอยู่หอพักในมหาลัยได้ชัดเจนครับ และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญของการอยู่หอพักด้านในมหาลัยและโดยส่วนตัวผมก็ยังคิดว่าสิ่งนี้สำคัญมาก นั่นก็คือเรื่องโอกาสการฝึกภาษาครับ จากที่ผมสังเกตคือทางมหาลัยจะพยายามแยกนักเรียนต่างชาติที่มาจากประเทศเดียวกันให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันครับ ซึ่งก็จะเป็นการบีบให้เราต้องพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันไปในตัว
👩🎓 เลือกเรียน Pre-sessional ด้วย เพราะไม่ได้เรียนแค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว
ในส่วนของการเรียนการสอน ในส่วนของผมนั้น ผมได้มีโอกาสเรียน Pre-sessional course ที่มหาลัยนี้เป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ Pre-sessional course คือ คอร์สปรับพื้นฐานให้กับนักเรียนต่างชาติที่ต้องการเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่คะแนนภาษาอังกฤษยังไม่ถึงเกณฑ์ครับ ซึ่งการเรียนคอร์สนี้มีความจำเป็นขนาดไหน? เป็นคำถามที่หลายคนอาจตั้งข้อสงสัย ส่วนในมุมมองของผมเองนั้นคิดว่าคำตอบของมันที่ได้นั้นอาจขึ้นอยู่กับว่าเราไปถามใครครับ(คนที่เคยเรียนกับไม่เคยเรียนอาจจะให้คำแนะนำที่ต่างกันได้ หรือคนที่ภาษาสูงอยู่แล้วอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับจุดนี้) ในความคิดส่วนตัว การได้เรียนคอร์สนี้กับ University of Kent เป็นคอร์สที่ผมมีความกดดันมากที่สุดและก็เป็นคอร์สที่ผมมีความสุขที่สุดด้วยเช่นกัน เหตุผลหลักๆ ที่ผมและเพื่อนหลายๆ คนรู้สึกกดดันก็คือ กลัวว่าจะสอบไม่ผ่านคะแนนตามเกณฑ์ที่ทางมหาลัยตั้งไว้เพื่อให้ได้ไปเรียนต่อในหลักสูตรที่ตัวเองต้องการ ซึ่งการสอบของมหาลัยนั้นก็จะแบ่งได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ (Speaking, Listening, Reading และ Writing) ซึ่งอาจฟังดูเหมือน IELTS แต่ก็มีความแตกต่างที่ค่อนข้างเยอะ เพราะคอร์สนี้จะมุ่งเน้นเรื่องการปูพื้นฐานแบบเฉพาะให้กับเราเพื่อนำไปใช้ในหลักสูตรหลักที่เราเลือกไว้กับมหาลัย ซึ่งถ้าเทียบกับ IELTS การประเมินนี้ก็จะมีความเฉพาะทางมากขึ้น เช่นในส่วนของการประเมินทดสอบการพูด นอกจากจะทดสอบเรื่องการพูดกับผู้ทดสอบในหัวข้อทั่วไปแล้ว ก็จะมีการประเมินการบรรยาย การนำเสนอผลงานภาษาอังกฤษหน้าชั้นเรียนของนักเรียน การตอบคำถามจากอาจารย์ผู้ทดสอบเกี่ยวกับเนื้อหาที่เราบรรยาย ในส่วนการฟัง เนื้อหาส่วนใหญ่ที่จะฟังก็จะเป็นเนื้อหาทางวิชาการมากขึ้น ในบางช่วงของการประเมินหลังจบการศึกษา นักศึกษาจะได้รับโอกาสให้ฟังการบรรยายจากผู้บรรยายประมาณ 15 นาที (จากคลิปวีดีโอ) โดยระหว่างนั้นเราต้องคอยจดประเด็นที่สำคัญไปด้วย เพื่อที่ว่าหลังจากคลิปวีดีโอจบแล้ว เราจะได้นำข้อความที่เราจดไว้ มาเขียนสรุปในกระดาษเพื่อส่งให้กรรมการตรวจให้คะแนนต่อไป ในส่วนของการประเมินการเขียนก็จะมีความแตกต่างค่อนข้างสูงเกี่ยวกับการเขียนทั่วไป เพราะโดยรวมแล้วภาษาที่ใช้จะต้องมีระดับที่มีความเป็นทางการมากขึ้น และการทำการเขียนในแต่ละครั้ง เราก็จะต้องรู้จักการอ้างอิง การให้แหล่งที่มาของข้อมูลที่น่าเชื่อถือและถูกต้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญของการให้คะแนนที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ ซึ่งเมื่อสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ตามเกณฑ์ที่มหาลัยคาดหวังนั้นมีค่อนข้างเยอะ คอร์สนี้จึงค่อนข้างที่จะต้องเข้มข้น การบ้านจึงจะต้องมีเพื่อให้เราพัฒนาได้ไวขึ้น แต่ความเข้มข้นก็อาจจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาเรียนด้วยเช่นกัน เช่นถ้าเราเรียน Pre-sessional course 6 สัปดาห์ ก็อาจจะต้องอัดเนื้อหาที่ต้องสอนให้ทันมากกว่า 10 สัปดาห์ หรือ 16 สัปดาห์ เป็นต้น แต่แม้ว่าคอร์สนี้จะมีความเหนื่อยหรือกดดันที่ค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตาม ในปีการศึกษาของผม ผมก็ยังไม่เคยเห็นใครไม่ได้ไปเรียนต่อในคอร์สหลักเพราะไม่จบจากคอร์สนี้
จากที่ผมได้กล่าวไว้ว่าคอร์สนี้แม้จะให้ความกดดันมาก แต่ก็เป็นคอร์สที่ผมมีความสุขด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ผมรู้สึกสนุกในการเรียนคอร์สนี้ ก็คือ ผมมองว่านักศึกษาแต่ละคนที่เข้าเรียนคอร์สนี้ ส่วนใหญ่ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้แข็งแรงมาก การที่ได้มาอยู่ร่วมกันได้ทำกิจกรรมต่างๆ ในห้องเรียนนอกจากจะได้รับความรู้จากตัวเนื้อหาแล้ว ก็เหมือนเป็นการช่วยเหลือกันเองระหว่างเพื่อนด้วยไปในตัว การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารด้วยความที่เรายังไม่ได้พูดคล่องหรือใช้ศัพท์และการออกเสียงที่ถูกต้องเท่าที่ควร ก็อาจส่งผลให้การสนทนากับคนทั่วไปยังเป็นไปได้ค่อนข้างยาก แต่เมื่อเราได้พูดกับเพื่อนที่เรียนในคอร์สนี้ ทุกคนก็จะพยายามที่จะตั้งใจฟังเรา แม้เราจะพูดวกไปวนมาก็ตาม เปรียบเสมือนกับว่าบางครั้งเราพูดภาษาอังกฤษแบบไม่รู้เรื่องเลยซักนิด แต่เพื่อนส่วนใหญ่ในห้องนอกจากที่จะไม่เบื่อหน่ายแล้ว แถมยังพยายามจะช่วยเดาว่าเราต้องการสื่อถึงศัพท์คำไหนหรือประโยคว่าอะไร ซึ่งหลายๆ คนที่ผมรู้จักก็ให้ความเห็นเป็นทำนองเดียวกันกับผมว่า เพื่อนจากคอร์ส Pre-sessional course ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แม้ภายหลังแต่ละคนจะต้องแยกย้ายกันไปเรียนตามสาขาวิชาของตัวเองก็ตาม
👩🏫 สไตล์การเรียนการสอนของที่ Kent Law School
ในส่วนของคอร์สหลักของผม (กฏหมาย) ในมหาลัยนี้ ที่ผมเห็นจะมีการสอน 2 แบบ เป็นแบบคลาส Lecture และ คลาส Seminar ในส่วนของคลาส Lecture อาจารย์จะสอนเนื้อหาที่อาจารย์เตรียมมาและอธิบายบทเรียนให้นักเรียนเข้าใจ โดยบางวิชาอาจารย์อาจจะอัปโหลดเนื้อหาที่จะทำการสอน (PowerPoint) ให้เรามาดูก่อน แต่บางวิชาอาจารย์ก็จะไม่ได้อัปโหลดล่วงหน้าไว้ให้ ซึ่งในคลาส Lecture นี้ อาจารย์จะเป็นผู้บรรยายหลัก ถ้าเกิดเราเห็นว่าเนื้อหาไม่ตรงตามที่เราเข้าใจ หรือเราอยากจะแย้งมุมมองของเราในส่วนไหนก็สามารถที่จะทำได้ ไม่ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ แถมอาจารย์ยังจะสนับสนุนอีกด้วยที่มีนักเรียนเห็นแย้งในเนื้อหาบางส่วนที่ตนบรรยาย
ในส่วนของ Seminar จะเป็นคลาสที่นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดและวิเคราะห์หัวข้อต่างๆ โดยก่อนที่จะเริ่มคลาส Seminar นั้น อาจารย์ประจำวิชาจะมีการมอบหมายรายชื่อหนังสือหรือวารสารที่นักเรียนจะต้องไปอ่านหรือทำความเข้าใจมาก่อน ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดในห้องเรียน โดยในระหว่างการ Seminar นั้น อาจารย์จะมีความเข้าใจและไม่กดดันนักเรียนในการตอบคำถาม และให้ความสำคัญกับการมีความคิดเป็นของตัวเอง นั่นหมายความว่าเราสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเพียงแค่เราต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของกระบวนการคิดของเราที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือ
ในส่วนการประเมินแต่ละวิชานั้น ในส่วนของสายกฏหมายจะไม่มีการสอบ แต่การประเมินส่วนใหญ่จะเป็นงานเขียน 5,000 คำ แต่ก็อาจจะมีบางวิชาที่มีคะแนนในส่วนอื่นด้วย เช่น การนำเสนอหน้าชั้นเรียน ซึ่งก่อนที่เราจะเลือกในแต่ละวิชานั้น เราสามารถเข้าไปอ่านเกณฑ์การให้คะแนนในวิชานั้นๆ ก่อนได้ หรือในอาทิตย์แรกของเทอม เราสามารถเข้าเรียนได้ทุกวิชาเพื่อเข้าไปฟังการนำเสนอรูปแบบการสอนการประเมินจากอาจารย์ประจำวิชานั้นๆ โดยที่เรายังไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกวิชาที่จะลงเรียน
ฟังคลิปพี่อิ๋ว รีวิวเรียนต่อ LLM ที่ University of Kent
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสมัครเรียน
ติดต่อพี่ๆ BRIT-Ed ได้ที่ Line ID: @brit-ed
Tel: 02-168-7890, หรือลงทะเบียนที่แบบฟอร์มด้านล่างบริการทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นค่ะ
You must be logged in to post a comment.